Spirit of the Land — part II: Noppanan Thannaree solo exhibition
Artist fields note
Life Force (Wat Para Sri Sanphet)
เมื่อครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสไปเยือนวัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรีอยุธยา เกิดความประทับใจกลุ่มต้นพุทราที่ขึ้นรายรอบพื้นที่ไปจนถึงบนสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ปรากฏการณ์นี้ได้สร้างความรู้สึกงดงามอย่างน่าประหลาดให้แก่ผม เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดจินตนาการปรากฏเป็นภาพทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไปจากสภาพความเป็นจริง เพื่อแสดงความรู้สึกเชื่อมโยงถึงมิติทางด้านจิตวิญญานร่วมกับโครงสร้างเดิมที่ยังทิ้งร่องรอยทางกายภาพให้เห็น
The Cloud Tree
ที่วัดบรมพุทธาราม ถัดจากตำแหน่งของต้นมะขามยักษ์อีกไม่กี่ก้าว ผมได้พบกับซากต้นมะม่วงขนาดใหญ่ที่หักกลางเหลือแต่ลำต้นมีร่องรอยบาดแผลส่วนปลาย ทราบจากคนในพื้นที่มาว่า เกิดจากพายุที่รุนแรงมาก เมื่อไม่นานมานี้ ภาพลักษณ์ที่ไม่สมบูรณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงความตายและรู้สึกเศร้า
รูปทรงที่เห็นว่าผุกร่อนทำให้นึกสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่มีร่วมกับสภาพของซากปรักหักพังของตัวอาคารโบราณสถานโดยรอบ พิจารณารอบๆอยู่สักพักใหญ่ในมุมที่ผมกำลังยืนอยู่ในขณะนั้น ก็สังเกตุเห็นเมฆก้อนหนึ่งลอยมาเป็นพื้นหลังซ้อนกันพอดีกับต้นมะม่วง ขณะนั้นเองก็มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิดคือประโยคที่หลวงพ่อติชนัทฮัน พระชาวเวียดนามที่เคยกล่าวว่า “ความตายของคนที่เธอรักก็เหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า เมื่อก้อนเมฆไม่อยู่ตรงนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเมฆได้ตายไปแล้ว เมฆยังคงสืบเนื่องในรูปแบบอื่นๆ เช่น ฝน หิมะ หรือน้ำแข็ง ถ้าเธอไม่ยึดติดอยู่กับรูปลักษณะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งของเมฆ เธอก็จะสามารถตระหนักเห็นเมฆในรูปแบบอื่นๆ และไม่เสียใจเมื่อมันไม่ได้คงอยู่ในสภาพนั้น คนที่เธอรักอาจจะกลายเป็นฝนและบอกเธอว่า ที่รัก…เธอไม่เห็นฉันในรูปแบบอื่นๆเลยหรือ?”
ในอีกทางหนึ่งภาพนี้ยังถูกประกอบสร้างจากความบันดาลใจในแนวคิดและรูปทรงของสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณจากวัฒนธรรมหินตั้ง (Megalith) ในแถบพื้นที่อุษาคเนย์ อีกด้วย